top of page

10 Essentials of Preaching

ree

โดย เจสซี แรนดอล์ฟ


ในบทสุดท้ายของพระคัมภีร์ที่อาจารย์เปาโลเขียน เขาได้ฝากถ้อยคำเหล่านี้ไว้กับทิโมธี ลูกศิษย์ในการรับใช้ของเขาว่า "ต่อหน้าพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้จะทรงพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย และโดยคำนึงถึงการเสด็จมาและราชอาณาจักรของพระองค์ ข้าพเจ้าขอกำชับท่านว่า จงประกาศพระวจนะ จงเตรียมตัวให้พร้อมทั้งขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส จงแก้ไขข้อผิดพลาด จงตักเตือน และให้กำลังใจด้วยความอดทนอย่างยิ่งและด้วยการสั่งสอนอย่างถี่ถ้วน" (2 ทิโมธี 4:1-2) จากรากฐานในถ้อยคำที่เปาโลได้ฝากไว้กับทิโมธี ผมขอเสนอสิบหลักการสำคัญที่นักเทศน์ทุกคนควรยึดมั่น เมื่อเตรียมตนเองที่จะเทศนาอย่างสัตย์ซื่อจากพระวจนะที่ไม่เปลี่ยนแปลงและเพียงพอเสมอของพระเจ้า


1. การเทศนาต้องมีพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางและยึดพระคัมภีร์เป็นรากฐาน

นักเทศน์ไม่ได้ขึ้นไปยืนบนธรรมาสน์เพื่อบอกตนคิดอะไร ไม่ใช่เพื่อโอ้อวดเรื่องที่เขาถนัด ไม่ใช่เพื่อแสดงโวหารการพูด แต่เขาเป็นโฆษกของพระเจ้า ประกาศพระวจนะอันสมบูรณ์แบบของพระองค์แก่ฝูงแกะที่อยู่ตรงหน้าเขา ความมุ่งมั่นในการประกาศความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้านั้นหยั่งรากลึกไปถึงความมุ่งมั่นของเขาต่อพระคัมภีร์ ในแง่ของความปราศจากข้อผิดพลาด ความไม่อาจผิดพลาด ความชัดเจน และความเพียงพอ ("พระวจนะของพระองค์ทุกคำเป็นความจริง" สดุดี 119:160; "มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวแต่ดำรงชีวิตด้วยทุกถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" มัทธิว 4:4 อ้างจากเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3; "เพราะทุกสิ่งที่เขียนไว้ในอดีตก็เขียนขึ้นเพื่อสอนเรา..." โรม 15:4; และ " พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม เพื่อเตรียมคนของพระเจ้าให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง" 2 ทิโมธี 3:16-17) ชาร์ลส์ ไซมอนได้กล่าวอย่างถูกต้องว่า "ความพยายามของผมคือการนำสิ่งที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ออกมาจากพระคัมภีร์ และไม่ใช่การยัดเยียดสิ่งที่ผมคิดว่าอาจจะมีอยู่ในนั้น ผมระวังอย่างยิ่งในเรื่องนี้ ผมไม่เคยพูดมากหรือน้อยกว่าสิ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นพระทัยของพระวิญญาณในข้อพระคัมภีร์ที่ผมกำลังอธิบาย"[1]


2. การเทศนาต้องยกย่องพระเจ้า

การเทศนาไม่ได้เรื่องของคนที่วางพระคัมภีร์ไว้บนธรรมาสน์ การเทศนาเป็นเรื่องของพระเจ้าผู้ที่มอบหมายชายคนนั้นให้ประกาศ การเทศนาควรทำให้ผู้ฟังรู้สึกเกรงกลัวต่อพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรงเปี่ยมพระบารมี ผู้ทรงเป็นกษัตริย์ ผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้ทรงสัพพัญญู ผู้ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ทรงยุติธรรม ผู้ทรงพระพิโรธ ผู้ทรงอดทน ผู้ทรงเมตตา และผู้ทรงรัก พระเจ้าผู้ที่ถูกสำแดงเปิดเผยในพระคัมภีร์

นักเทศน์ควรพยายามนำพระเกียรติสิริมาสู่พระเจ้าโดยการสำแดงพระเจ้าและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการเทศนา ไม่ว่าคำเทศนานั้นจะอิงจากข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอย่างชัดเจน (สดุดี 145:3; โรม 11:33) หรือมาจากพระธรรมที่ไม่ได้กล่าวถึงพระนามของพระเจ้า (เอสเธอร์) หรือมาจากตอนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ (โยบ, ปัญญาจารย์) หรือจากตอนที่ให้คำแนะนำว่าคริสเตียนควรดำเนินชีวิตอย่างไรในโลกที่เป็นศัตรูต่อพระเจ้ามากขึ้น (บรรดาจดหมายฝาก)



การเทศนาควรนำผู้ที่ได้ฟังการเทศนาไปสู่ "การสรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามพระเกียรติสิริที่ควรแก่พระนามของพระองค์" (สดุดี 29:2) เพื่อพระองค์จะได้รับ

"พระเกียรติสิริในคริสตจักร" (เอเฟซัส 3:21)



3. การเทศนาต้องมุ่งสู่พระคริสต์

แม้ว่าเราจะปฏิเสธวิธีการอ้างต้นแบบอย่างสุดโต่ง (hyper-typological) และวิธีการเปรียบเปรย (allegorical) ที่อาจพบพระเยซูในดาบที่เอฮูดเสียบเข้าไปในท้องของเอโกลน (วินิจฉัย 3:21-22) เราก็ยังคงใส่ใจต่อพระวจนะของเปาโลใน 1 โครินธ์ 2:2 "เพราะข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าขณะอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าจะไม่รู้อะไรอื่นเลยนอกจากเรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงตายบนไม้กางเขน" แม้ว่าเราจะไม่ไปไกลเท่าชาร์ลส์ สเปอร์เจียนที่กล่าวว่า "ผมเอาข้อพระคัมภีร์ที่เทศนา แล้วเดินตรงไปที่กางเขน" แต่ ณ จุดหนึ่งในการเทศนา ผู้เทศนาควรจะนำสายตาของวิสุทธิชนไปที่พระบุตรของพระเจ้าผู้เปี่ยมพระเกียรติสิริ ดังที่ราชาแห่งนักเทศนาได้กล่าวไว้ว่า:


ผมขอเสนอว่าหัวข้อของพันธกิจใช้ในนิเวศหลังนี้ ตราบเท่าที่แท่นนี้ยังคงยืนอยู่ และตราบเท่าที่นิเวศหลังนี้ยังคงมีผู้นมัสการเข้ามา ต้องเป็นตัวตนของพระเยซูคริสต์... หากมีใครถามผมว่าอะไรคือหลักข้อเชื่อของผม ผมคิดว่าผมต้องตอบว่า "คือพระเยซูคริสต์"... หลักศาสนศาสตร์ที่ผมจะผูกมัดและจำนนตัวเองไว้ตลอดไปโดยการช่วยเหลือของพระเจ้า คือ... พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นแก่นสารและแก่นแท้ของพระกิตติคุณ ผู้ทรงเป็นศาสนศาสตร์ทั้งมวลในตัวพระองค์เอง ผู้ทรงให้ความจริงทุกประการที่มีมาก่อนนั้นได้มาบังเกิดเป็นจริงในโลก ผู้ทรงให้ทางนั้น ความจริง และชีวิตได้มาสำแดงในบุคคลที่เปี่ยมพระสิริ[2]


ขอให้ผู้ที่เทศนากล่าวอาเมนต่อถ้อยคำอันงดงามเหล่านี้


4. การเทศนาต้องถูกต้องในด้านหลักคำสอนและศาสนศาสตร์

การเทศนาไม่ควรถูกขับเคลื่อนด้วยสมมติฐานทางศาสนศาสตร์ แต่ควรตั้งอยู่บนพระคัมภีร์และมีรากฐานอยู่ในพระคัมภีร์ก่อนสิ่งใด (ดูด้านบน) การเทศนาแต่ละครั้งย่อมเกี่ยวข้องกับศาสนศาสตร์ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะการเทศนาเป็นการประกาศและอธิบายถึงพระลักษณะและพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น ก่อนที่จะเทศนาออกไป ควรตรวจสอบเนื้อหากับแหล่งศาสนศาสตร์ที่เชื่อถือได้เสียก่อน เพื่อให้แน่ใจว่านักเทศน์ยังคงอยู่ในรางกั้นของความเชื่อที่ถูกต้อง เพื่อจุดประสงค์นี้ การศึกษาศาสนศาสตร์เชิงระบบ ศาสนศาสตร์จากพระคัมภีร์ ศาสนศาสตร์เชิงประวัติศาสตร์ และศาสนศาสตร์เชิงปฏิบัติ เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเป็นนักเทศน์ที่สัตย์ซื่อและเกิดผลต่อพระวจนะของพระเจ้า การศึกษาด้านศาสนศาสตร์ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อนักเทศน์ แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เขากำลังเทศนาด้วย ดังที่ เจ.ไอ. แพคเกอร์เคยกล่าวไว้ "การเทศนาหลักคำสอนย่อมทำให้คนหน้าซื่อใจคดเบื่อหน่าย แต่มีเพียงการเทศนาหลักคำสอนเท่านั้นที่จะช่วยแกะของพระคริสต์ได้"[3]


5. การเทศนาต้องพึ่งพาพระเจ้า ทั้งก่อนและหลังการเทศนา

นักเทศน์ยอมรับว่านอกจากพระคริสต์แล้ว เขาทำอะไรไม่ได้เลย (ยอห์น 15:5) และดังนั้นเขาจึงเป็นคนแห่งการอธิษฐาน ทั้งในฐานะส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า (1 เธสะโลนิกา 5:17) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเตรียมจิตใจและความคิดของเขาเพื่อเทศนา เขาอธิษฐานขณะที่เขาศึกษา (สดุดี 119:18) เขาอธิษฐานตลอดสัปดาห์ที่นำไปสู่การเทศนาของเขา เขาอธิษฐานในคืนก่อนที่เขาจะเทศนา เขาอธิษฐานในเช้าวันที่เขามีกำหนดเทศนา และเขาอธิษฐานขณะที่เขาเดินขึ้นไปเทศนา เขาพึ่งพาองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิงที่จะประทานปัญญา พระคุณ และกำลังเพื่อนำพระวจนะของพระเจ้าไปในวันนั้น


แม้ว่านักเทศน์จะพึ่งพาการอธิษฐาน แต่นั่นไม่ใช่วิธีเดียวที่เขาพึ่งพาพระเจ้าในการเทศนาของเขา แม้ว่าเขาจะเตรียมตัวเป็นอย่างดีในการเทศนา (ดูด้านล่าง) เขาก็ยังยอมจำนนต่อพระวิญญาณขณะที่เขาถ่ายทอดคำเทศนา เขากำลังสังเกตบรรยากาศขณะที่เขาเทศนา สังเกตการสบตาและสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูดอื่นๆ จากคริสตจักร และขณะที่เขาทำเช่นนั้น เขาเต็มใจที่จะไปในทิศทางที่เขาไม่ได้วางแผนไว้ ตามที่พระวิญญาณนำ แม้จะยังอยู่ภายในการนำเสนออย่างมีฝีมือและเป็นระเบียบของสิ่งที่พระเจ้าได้สำแดงไว้ในพระวจนะของพระองค์ ด้วยคำพูดของเขา นักเทศน์ต้องเป็นผู้เลี้ยงดูคนจริงๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความเจ็บปวดจริงๆ และคำถามจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่องสุนทรพจน์ที่จำมา ดังนั้นนักเทศน์จึงต้องพึ่งพาพระวิญญาณเพื่อช่วยให้งานนี้สำเร็จ


6. การเทศนาต้องเตรียมตัวดี

การถูกนำโดยพระวิญญาณ (ดูข้างต้น) ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการเตรียมตัวไม่ดี นักเทศน์ เช่นเดียวกับคริสเตียนคนใดๆ ต้องมุ่งมั่นที่จะฝึกตนเองให้อยู่ในทางพระเจ้า (1 ทิโมธี 4:7) เขาต้องมุ่งมั่นที่จะอยู่ร่วมกับพระเจ้า (ผ่านการอ่านพระคัมภีร์และการอธิษฐาน) รวมทั้งกับประชากรของพระเจ้า

ในด้านการเทศนานั้น เขาจำเป็นต้องใส่ใจต่อถ้อยคำใน 2 ทิโมธี 2:15 ที่กล่าวว่า "จงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะให้ตัวท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรับรอง เป็นคนงานที่ไม่ต้องอับอาย และใช้ถ้อยคำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง" กล่าวโดยสรุป นักเทศน์ต้องมีระเบียบวินัย มุ่งมั่นทำงานหนักและขวนขวายที่จะศึกษา เขาต้องมุ่งมั่นที่จะศึกษาข้อพระคัมภีร์ในภาษาต้นฉบับ ใช้หลักการอันถูกต้องของไวยากรณ์ หลักการตีความพระคัมภีร์ และการอรรถาธิบายพระคัมภีร์เพื่อดึงประเด็นหลักของข้อพระคัมภีร์ออกมา ศึกษาพระคัมภีร์และงานเขียนทางศาสนศาสตร์สำคัญๆ สำหรับข้ออ้างอิงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาโครงเรื่องการเทศนาที่ดีซึ่งขุดค้น และส่องแสงไปที่ประเด็นหลักของข้อพระคัมภีร์ เมื่อเวลาผ่านไป กระบวนการอรรถาธิบายพระคัมภีร์นี้อาจจะเร็วขึ้น แต่นักเทศน์ที่มีระเบียบวินัยต้องมุ่งมั่นที่จะไม่ลัดขั้นตอนในกระบวนการอรรถาธิบายพระคัมภีร์ เมื่อกระบวนการเร็วขึ้น นักเทศน์จะมีเวลามากขึ้นเพื่อไปให้ลึกยิ่งขึ้น


7. การเทศนาต้องมีสิทธิอำนาจ

คนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เทศนานั้น ไม่ได้ยืนขึ้นมาเพื่อแบ่งปันความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของเขา เขาไม่ได้กำลังบรรยาย TED Talk เขาไม่ใช่ไลฟ์โค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองที่บังเอิญถือพระคัมภีร์อยู่ แต่เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมและอัครทูตในพันธสัญญาใหม่ นักเทศน์ต้องเต็มใจที่จะกล่าวด้วยความกล้าหาญว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้" เขาทำเช่นนั้นเพราะเขารู้ว่าอำนาจอยู่กับพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ ไม่ใช่กับตัวนักเทศน์เอง



นักเทศน์ให้ความสำคัญกับหน้าที่ของเขาในการประกาศข่าวสาร

ของพระเจ้าแก่ประชากรของพระเจ้าเพื่อพระสิริของพระเจ้า


เขาไม่ละอายต่อข่าวสารที่เขาได้รับการเรียกให้ประกาศ และเขาไม่หลีกเลี่ยงหรือลดความสำคัญของตำแหน่งและความรับผิดชอบที่เขามีอยู่ ดังที่ ดี. มาร์ติน ลอยด์-โจนส์ได้กล่าวไว้


นักเทศน์ไม่ควรมีท่าทีขอโทษ หรือทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าเขากำลังพูดเพราะได้รับอนุญาตจากพวกผู้ฟัง นักเทศน์ไม่ควรเสนอถ้อยคำหรือความคิดราวกับเป็นเพียงข้อเสนอแนะที่ไม่แน่ใจเลย ท่าทีเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรมีเลย นักเทศน์คือบุคคลที่ถูกเรียกมาเพื่อ “ประกาศ” ความจริงบางอย่างอย่างชัดเจน เขาเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้พระบัญชาและสิทธิอำนาจ เขาเป็นเหมือนทูต และจำเป็นต้องตระหนักถึงสิทธิอำนาจของตนเสมอ เขาต้องรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า เขามาหาคริสตจักรในฐานะผู้สื่อสารที่ถูกส่งมา[4]


การเทศนาที่ดีคือการเทศนาที่มีสิทธิอำนาจ


8. การเทศนาต้องเรียกร้องบางสิ่ง

การเทศนาไม่ใช่การบรรยาย แม้ว่าจะมีองค์ประกอบการสอนในการเทศนาที่ดีทุกครั้ง แต่การเทศนาควรไปไกลกว่าการสอน โดยเรียกร้องให้ผู้ฟังทำอะไรบางอย่างตามเนื้อหาของการเทศนา นักเทศน์มีอิสระที่จะเสนอประเด็นการประยุกต์ใช้เฉพาะสำหรับคริสตจักร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วคือพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะทำให้จิตใจสำนึกผิด และแตะต้องใจบุคคลที่มีพระวิญญาณสถิตให้ตอบสนองต่อการที่นักเทศน์ใช้ดาบของพระวิญญาณ (เอเฟซัส 6:17) สำหรับผู้เชื่อ พระวิญญาณจะนำการเทศนาที่เตรียมอย่างสัตย์ซื่อ และขับเคลื่อนความจริงของพระคัมภีร์เข้าไปในใจของประชากรของพระเจ้า (ฮีบรู 4:12) ทำให้พวกเขาสำนึกผิดในบาป และเติมเชื้อให้ไฟของพวกเขาเติบโตต่อไปในความบริสุทธิ์และความเป็นเหมือนพระคริสต์ สำหรับผู้ไม่เชื่อ พระวิญญาณจะนำการเทศนาดังกล่าวและทำให้เขาหรือเธอสำนึกผิดในบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา (ยอห์น 16:8) ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่ความรอด สำหรับผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ หรือเพียงแค่การพิพากษาลงโทษสำหรับผู้ที่ยังคงอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นทางใด พระประสงค์ของพระเจ้าในการส่งพระวจนะของพระองค์ผ่านนักเทศน์จะสำเร็จ (อิสยาห์ 55:11)


9. การเทศนาต้องมีทั้งความชัดเจนในการแสดงออกและจินตนาการ

สุดยอดคำเทศนาไม่ใช่การยำรวมมิตร แต่ถูกสร้างสรรค์อย่างระมัดระวังตลอดหลายชั่วโมง คำเทศนาทั้งหลายมีข้อความอ้างอิงไปยังพระคัมภีร์อย่างเพียงพอ และหากจำเป็น ไปยังประวัติศาสตร์คริสตจักร การเทศนาถูกแก้ไข ขัดเกลา และกลิ้งไปกลิ้งมาในใจของนักเทศน์ เพื่อจัดการกับปัญหาใดๆ ของเนื้อหาหรือการนำเสนอก่อนที่การเทศนาจะมาถึงจริง การเทศนา "พิเศษคืนวันเสาร์" เป็นประจำไม่ใช่วิธีการเทศนา! นอกจากนี้ การเทศนาที่มั่นคงจะมีจินตนาการ หมายความว่า เมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ จินตนาการจะรวมถึงการยกตัวอย่าง เรื่องเล่า และสถานการณ์สมมติเพื่อดึงความหมายของข้อพระคัมภีร์ออกมา เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าทั้ง "มีชีวิตและทรงอานุภาพ" (ฮีบรู 4:12) และ "สมบูรณ์ไร้ที่ติ" (สดุดี 19:7) ท้ายที่สุดแล้ว พระวจนะของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีการยกตัวอย่างหรือเครื่องมือที่คล้ายกันเพื่อให้มีชีวิต พระวจนะของพระคริสต์เองให้ชีวิต (ยอห์น 6:63) อย่างไรก็ตาม เพื่อพาเราไปด้วยกันในสภาพที่ล้มลงของเรา การยกตัวอย่างและเรื่องเล่าสามารถเป็นประโยชน์ในการให้แสงสว่างต่อความหมายของพระคัมภีร์ ซึ่งจะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างเที่ยงธรรมและเกรงกลัวพระเจ้าในยุคนี้ (ทิตัส 2:12) เช่นเดียวกับสิ่งใดๆ การยกตัวอย่างและเรื่องเล่าสามารถใช้มากเกินไป! หากการยกตัวอย่างหรือเรื่องเล่าแสดงให้เห็นนักเทศน์ในฐานะผู้ยกตัวอย่างที่มีพรสวรรค์หรือนักเล่าเรื่อง แทนที่จะแสดงพระเจ้าและพระเกียรติสิริของพระองค์ นักเทศน์ก็ไม่ได้ทำภารกิจของเขาให้สำเร็จ


10. การเทศนาต้องมีความหลงใหลและน่าสนใจ

การเทศนาที่มั่นคงหนักแน่นไม่ได้เป็นเพียงการพูดเสียงเรียบๆ เพียงเสียงเดียว หรือมีสีสันด้านเดียว ไม่ได้หยุดอยู่แค่การอ่านพระคัมภีร์ออกเสียง และไม่ได้เป็นเพียงการอ่านต้นฉบับอย่างแห้งแล้งจากกระดาษ



ดังที่ฟิลลิป บรูคส์กล่าวไว้ การเทศนาคือ "ความจริงผ่านบุคลิกภาพ"[5]


การเทศนาที่นิ่งมั่นคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเสียง (โทนเสียง ระดับเสียง และจังหวะ ฯลฯ) การสบตา และการใช้ร่างกาย (การแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางมือ การเคลื่อนไหวรอบธรรมาสน์) เพื่อใช้ในการสื่อสาร เช่นเดียวกับที่นักเทศน์จะทำในการมีปฏิสัมพันธ์ปกติในชีวิตประจำวัน

ยิ่งไปกว่านั้น การมีความหลงใหลในการเทศนานั้นต้องการให้คนเชื่อในสิ่งที่เขากำลังเทศนา ดังที่ ดี. มาร์ติน ลอยด์-โจนส์กล่าวไว้ในการบรรยายสำคัญของเขาที่มีชื่อว่าการเทศนาและนักเทศน์ (Preaching and Preachers) นักเทศน์ไม่ได้รับใช้เพียงแค่ในฐานะทนายความ แต่เป็นพยาน! เขาไม่ได้แค่ท่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ แต่เขากำลังเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สำแดงในพระวจนะ ลอยด์-โจนส์กล่าวในหนังสือการเทศนาและนักเทศน์ อีกว่า การเทศนาคือ "ศาสนศาสตร์ที่ติดไฟ" ข้อความและภาพนี้มีประโยชน์มากในการพูดถึงความหลงใหลที่ต้องหนุนและไหลออกจากการเทศนาที่ดีใดๆ การเทศนาที่มั่นคงเป็นทั้งความหลงใหลและน่าสนใจ


ภารกิจที่หนักอี้ง

งานการเทศนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ด้วยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเทศนาต้องการความมุ่งมั่น ความแม่นยำ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง จงอธิษฐานเพื่อนักเทศน์นั้นในชีวิตของคุณ (อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วย ถ้าเป็นนักเทศน์) ที่ได้รับความไว้วางใจในงภารกิจหนักอึ้งนี้ ให้พวกเขาปฏิบัติกับพระคัมภีร์เสมอว่านี่คือ สิ่ง "ที่เป็นจริงคือ เป็นพระวจนะของพระเจ้า" (1 เธสะโลนิกา 2:13) และในการเทศนาความจริงของพระคัมภีร์ พวกเขาจะ "ได้ประกาศเรื่องราวอย่างแจ่มชัดตามที่ควร" (โคโลสี 4:4)



ผู้เขียน:

เจสซี แรนดอล์ฟ เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนพระคริสต์ธรรมเดอะมาสเตอร์ส (M.Div) เขารับใช้เป็นศิษยาภิบาล-นักเทศน์ของคริสตจักรอินเดียนฮิลล์สคอมมูนิตี้เชิร์ช ในลินคอล์น รัฐเนแบรสกา



หมายเหตุ:

[1] David Helm, Expositional Preaching: How We Speak God’s Word Today (Wheaton, IL: Crossway, 2014), 12 (quoting H.C.G. Moule, Charles Simeon (London: Hatchard and Son, 1847), 582-83).

 [2] Steven J. Lawson, The Kind of Preaching God Blesses (Eugene, OR: Harvest House Publishers, 2013), 71 (quoting C.H. Spurgeon, The Metropolitan Tabernacle Pulpit, Vol. VII, 169).

[3] J.I. Packer, A Quest for Godliness: The Puritan Vision of the Christian Life (Wheaton, IL: Crossway, 1990), 284-85

[4] D. Martyn Lloyd-Jones, Preaching and Preachers (Grand Rapids: Zondervan, 1971), 83 (quoted in Alex Montoya, Preaching with Passion (Grand Rapids: Kregel, 2000), 80).

[5] Phillips Brooks, Lectures on Preaching: Delivered before the Divinity School of Yale College in January and February 1877 (New York: E.P. Dutton, 1877), 8 (quoted in Abraham Kuruvilla, A Vision for Preaching: Understanding the Heart of Pastoral Ministry (Grand Rapids: Baker Academic (2015), 34)).




 
 
 

Comments


What's New

Sign up to receive updates about new books, conferences and products!

Thanks for submitting!

Opening Hours

Mon - Fri: 8am - 5pm

​​Saturday: 8am - 12pm

​Sunday: Closed

Contact Us

สถาบันพระคริสตธรรมเกรซ แบ๊บติสต์

บ้านเลขที่ 10 หมู่ 1

ต.ตลาดใหญ่ อ.ดอยสะเก็ด

จ.เชียงใหม่ 50220

gracebannasan@gmail.com

092-258-1033

© 2022 by Grace Bannasan

a project of the Sovereign Grace Baptist Foundation in Thailand

bottom of page