จอห์น คาลวิน: นักศาสนศาสตร์และศิษยาภิบาล
- Grace Bannasan

- 18 ก.ย.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 1 ต.ค.

โดย แอนเดรย์ กอร์แบน (Andrey Gorban)
แค่กล่าวชื่อ 'จอห์น คาลวิน' ก็พอให้ผู้คนบางแวดวงโต้เถียงกันแล้ว คำสอนของเขารวมทั้งศาสนศาสตร์ที่แตกออกมาจากพันธกิจและงานเขียนของเขา ตลอดจนผู้ที่เชื่อมโยงตนเองกับเขาและแนวคิด "T.U.L.I.P." ของเขา (ทั้งที่ความจริงแล้ว 'หลักการห้าข้อของคาลวิน' ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปกว่า 50 ปีแล้ว) สามารถสร้างพายุสมบูรณ์แบบซึ่งนำไปสู่ความแตกแยกที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ในหมู่คริสเตียนที่มีใจในเรื่องศาสนศาสตร์
ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะถามใครเกี่ยวกับจอห์น คาลวิน คุณก็อาจจะได้คำบรรยายเกี่ยวกับชายคนนี้ในหลากหลายแบบ ฝ่ายตรงข้ามของเขา อาจจะเรียกเขาว่าเป็นคนนอกรีตและเป็นทรราชย์ คนนอกศาสนาคริสต์อาจจะมองเขาเพียงเป็นนักปรัชญาหรือผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียง คริสเตียนที่ยึดถือศาสนศาสตร์ปฏิรูป (Reformed Theology) อาจมองเขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น เป็นนักศาสนศาสตร์ที่เป็นแบบอย่าง และเป็นนักเขียนที่มีผลงานที่ลึกซึ้งในด้านคำสอนและคำอรรถาธิบายมากมาย
ไม่ว่าคุณจะมองคาลวินอย่างไร หนึ่งในฐานะบทบาทที่คนไม่ค่อยนึกถึงกับจอห์น คาลวิน ก็คือ 'ศิษยาภิบาล' และนี่คือความเข้าใจผิดประเภทเดียวกับที่ขัดขวางเราในเกือบ 500 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว จนพวกเราไม่ค่อยไม่ให้เรียนรู้ว่า ฐานะนี้สำคัญเพียงใดในการหล่อหลอมอัตลักษณ์ของชายของพระเจ้าคนนี้
จอห์น คาลวิน เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1509 เขามาสู่โลกนี้ในฐานะลูกชายของทนายความผู้ร่ำรวย และอาศัยอยู่ในครอบครัวชนชั้นสูง บิดาของเขาไม่ใช่ทนายความธรรมดา แต่เป็นทนายความของคริสตจักร ดังนั้นศาสนาและคริสตจักรโรมันคาทอลิกจึงเป็นสิ่งที่คาลวินหนุ่มคุ้นเคย
ตอนอายุ 14 ปี และด้วยการชักจูงของบิดา เขาได้ย้ายไปศึกษาที่ปารีส เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นนักบวชโรมันคาทอลิก ระหว่างการศึกษา คาลวินเริ่มโน้มเอียงไปทางมนุษยนิยมคริสเตียน (Christian humanist) ที่มีความคิดและความเอาใจใส่ ในปี ค.ศ. 1527 ตามคำสั่งของบิดา คาลวินได้ละทิ้งการแสวงหาการเป็นนักบวชโรมันคาทอลิก และเริ่มศึกษากฎหมายเพื่อเป็นทนายความ
อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1531 เมื่อบิดาของคาลวินเสียชีวิต เขาได้ทิ้งการศึกษากฎหมายและกลับไปสู่สิ่งที่เขารักจริง ๆ นั่นคือนักมนุษยนิยมคริสเตียน เมื่อเขาได้ดื่มด่ำกับการศึกษาศาสนศาสตร์ที่วิทยาลัยเดอ ฟรานซ์ในปารีสอย่างเต็มที่ คาลวินได้ศึกษาภาษากรีกและภาษาฮีบรู และค่อย ๆ เข้าใกล้การกลับใจที่แท้จริงและการแสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้ว่ารายละเอียดของการกลับใจของเขาจะยังคงเป็นความลึกลับอยู่บ้าง สิ่งที่เรารู้ก็คือ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1532 และ 1534 เขาได้กล่าวถึงช่วงเวลานี้ในชีวิตของเขาอย่างเรียบง่ายว่า เป็นจุดที่พระเจ้าทำให้ใจของเขาอ่อนโยน และด้วยเหตุนี้ ศิษยาภิบาลคาลวินจึงได้เกิดขึ้น
ในปี ค.ศ. 1536 คาลวินได้เขียน หลักคำสอนแห่งศาสนาคริสต์ (Institutes of the Christian Religion) เพื่อตอบสนองต่อการข่มเหงโปรเตสแตนต์ของฟรานซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ผลงานนี้ถือเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งและทำให้เขาอยู่ในหมู่ผู้นำที่มีอิทธิพลอื่น ๆ ของการปฏิรูป และที่แน่นอนกว่านั้น ผลงานนี้ได้ดึงดูดความสนใจของนักปฏิรูปชาวฝรั่งเศสผู้หลงใหลชื่อวิลเลียม ฟาเรล
ฟาเรลกำลังรับใช้อยู่ในเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเขาได้รู้ว่าคาลวินกำลังเดินทางผ่านเจนีวา เขาจึงไปพบคาลวินเพื่อพยายามโน้มน้าวให้คาลวินอยู่ในเมืองนั้น เพื่อช่วยเหลือการปฏิรูปที่นั่น คาลวินได้วางแผนไว้แล้วว่า ตนจะไปใช้ชีวิตอันเงียบสงบแบบนักวิชาการในสตราสบูร์ก เขาจึงปฏิเสธข้อเสนอของฟาเรลอย่างสุภาพ
สิ่งนี้ทำให้ฟาเรลไม่พอใจ เขาจึงใช้กลยุทธ์ข่มขู่ โดยขู่ว่าจะเรียกคำสาปจากสวรรค์ เพื่อขัดขวางแผนของคาลวินที่จะมีชีวิตอันสงบสุขในฐานะนักวิชาการ น่าแปลกที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้การกระทำที่น่าสะพรึงกลัวของฟาเรลเพื่อโน้มน้าวคาลวินให้อยู่ในเจนีวา การตัดสินใจนี้จะหล่อหลอมมรดกที่เหลือของคาลวิน เปิดทางสำหรับชีวิตพันธกิจศิษยาภิบาล
อย่างไรก็ตาม ครั้งแรก คาลวินอยู่ในเจนีวาได้ไม่นานนัก เขาและฟาเรลพยายามทำการปฏิรูป แต่กลับเผชิญกับการต่อต้านจากสภาเมืองเจนีวา น่าเศร้าที่เมืองสวิสนี้ยังไม่พร้อมสำหรับจอห์น คาลวินและความเอาใจใส่ต่อชีวิตบริสุทธิ์อย่างไม่ประนีประนอมตามที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์
เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดจบกับสภาเมือง คาลวินและฟาเรลถูกขับออกไป สำหรับคาลวิน นี่หมายความว่า ในที่สุดเขาก็สามารถไปสตราสบูร์กได้แล้ว ที่นั่น เขาได้เป็นศิษยาภิบาลของชุมชนผู้ลี้ภัยโปรเตสแตนต์ชาวฝรั่งเศสร่วมกับนักปฏิรูปเยอรมันมาร์ติน บูเซอร์ ระหว่างที่อยู่ในสตราสบูร์ก เขาไม่เพียงแต่รับใช้ในคริสตจักร แต่ยังเขียนสุดยอดผลงานบางเล่มของเขาอีกด้วย นอกจากนั้นเขายังได้พบแม่ม่ายชื่ออีเดแลตต์ เดอ บูเร และแต่งงานกับเธอ
แม้ว่าวันเวลาในสตราสบูร์กจะเป็นช่วงที่น่าพอใจเติมเต็มชีวิต แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็มีแผนอื่นสำหรับคาลวิน ในปี ค.ศ. 1541 เขาได้รับคำเชิญของสภาเมืองเจนีวา และตัดสินใจกลับไปยังเมืองที่เคยขับไล่เขาออกไปเมื่อสามปีก่อนหน้านั้น การที่คาลวินเต็มใจจะกลับไปเจนีวาแสดงให้เห็นถึงความรักและความเอาใจใส่ที่อยู่ในใจของเขา เขาเป็นศิษยาภิบาลที่ใส่ใจต่อผู้คนและมุ่งเน้นที่พระราชกิจของพระเจ้ามากกว่าความสะดวกสบายและความชอบส่วนตัวของตนเอง
ครั้งที่สองนี้ ชีวิตของคาลวินในเจนีวาก็ยังไม่พ้นความยากลำบาก หลังจากเขาชื่นชนยินดีอย่างยิ่งที่ได้ใช้ชีวิตในสตราสบูร์กเป็นเวลาสามปี การกลับมาเจนีวาเป็นแรงจูงใจจากความปรารถนาของเขาที่จะถูกพระเจ้าใช้ จากมุมมองของมนุษย์ การอยู่ในเมืองที่เขารู้สึก "เหมือนบ้าน" มากกว่าน่าจะสมเหตุสมผลกว่า อย่างไรก็ตาม โดยการละทิ้งความชอบส่วนตัวของตน เขาได้ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อนำการปฏิรูปมาสู่ไม่เพียงแต่คริสตจักรเจนีวา แต่รวมถึงเมืองทั้งเมืองด้วย ผลที่ตามมาคือเขาเผชิญกับความท้าทายมากมาย
ในครั้งหนึ่ง คาลวินถูกบังคับให้จัดการกับคนนอกรีตชื่อไมเคิล เซอร์เวตุส ผู้ที่ปฏิเสธหลักคำสอนเรื่องตรีเอกภาพ (Trinity) อย่างรุนแรง คาลวินมักถูกโทษในเรื่องการตายของเซอร์เวตุส แต่ความจริงแล้วเป็นสภาเมืองเจนีวาที่ตัดสินประหารชีวิตเซอร์เวตุส ในส่วนของคาลวิน เขาได้อ้อนวอนเซอร์เวตุสอย่างมีเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กลับใจ และถอนคำมุมมองนอกรีตของเขา สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความรักของเขาที่มีต่อคนบาปและความปรารถนาที่จะเห็นคนเหล่านั้นกลับคืนดีกับพระเจ้า
การทดลองอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1549 เมื่อคาลวินสูญเสียอีเดแลตต์ ภรรยาของเขาจากโรคร้าย เป็นที่เข้าใจได้ว่านี่เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเอาชนะ แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อและยังคงรับใช้อย่างซื่อสัตย์ในเจนีวา การปฏิรูปไม่ได้มาอย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่คาลวินได้อดทนผ่านความยากลำบากและความเศร้าโศก เพราะความเอาใจใส่ของเขาต่อพระเจ้าและเพราะความรักที่เขามีต่อผู้คนในเจนีวา
มีสิ่งมากมายที่เราควรเรียนรู้จากจอห์น คาลวิน การรับใช้อย่างสัตย์ซื่อของเขาเมื่อเผชิญกับความยากลำบากเป็นสิ่งที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง เช่นเดียวกับความเอาใจใส่และการดูแลที่เขามีต่อพระวจนะของพระเจ้า
ที่สำคัญ คาลวินยังแสดงให้เห็นว่า งานของศิษยาภิบาลและงานของนักศาสนศาสตร์ไม่จำเป็นต้องแยกออกจากกัน ศิษยาภิบาลควรมีความคิดทางศาสนศาสตร์และควรแสวงหาที่จะฝึกฝนคนของตนให้เป็นเช่นนั้นด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง พันธกิจศิษยาภิบาลกับงานด้านศาสนศาสตร์ควรเดินจับมือไปด้วยกัน
หลักการนี้คือสิ่งที่ชีวิตของจอห์น คาลวินผู้เป็นทั้งนักศาสนศาสตร์และศิษยาภิบาล ได้สำแดงให้เห็น
ผู้เขียน
แอนเดรย์ กอร์แบน (Andrey Gorban) เป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรปริญญาโท สาขาศาสนศาสตร์ที่ The Master's Seminary
Copyright: บทความเรื่อง "จอห์น คาลวิน: นักศาสนศาสตร์และศิษยาภิบาล" โดย "แอนเดรย์ กอร์แบน" ต้นฉบับเผยแพร่เป็นภาษาไทยโดย เกรซ บรรณสาร ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.Gracebannasan.com
Original Article in English can be found at: https://blog.tms.edu/john-calvin-theologian-pastor
.png)



ความคิดเห็น