top of page

จอร์จ ไวท์ฟิลด์: นักประกาศข่าวประเสริฐแบบคาลวิน

  • รูปภาพนักเขียน: Grace Bannasan
    Grace Bannasan
  • 2 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 1 นาที

ree

โดย แอนดรูว์ มอร์โรว์

จอร์จ ไวท์ฟิลด์เป็นนักประกาศพระกิตติคุณชื่อดังในศตวรรษที่ 18 ที่เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกถึงสิบสามครั้ง เขาเป็นบุคคลสำคัญในการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า "การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่" (Great Awakening)[1] นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักในนาม "นักเทศน์เร่ร่อนผู้ยิ่งใหญ่" (Grand Itinerant) ไวท์ฟิลด์มักจะประกาศข่าวประเสริฐกลางแจ้งต่อฝูงชนที่มีจำนวนมากกว่า 20,000 คน


เขาเป็นผู้ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างร้อนรน โดยเรียกร้องวิญญาณที่หลงหายให้บังเกิดใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่เขารับใช้ เขายังคงยึดมั่นเต็มเปี่ยมในหลักคำสอนเรื่องอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้าในการช่วยให้รอด


สำหรับไวท์ฟิลด์ การยืนยันหลักคำสอนเรื่องอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้าในการช่วยให้รอดไม่ขัดแย้งกับการประกาศพระกิตติคุณแก่คนหลงหายอย่างขยันขันแข็งเลย

แง่มุมสำคัญ 2 ประการที่ต้องเน้นคือ (1) แหล่งที่มาของหลักคำสอนของเขา และ (2) แบบอย่างของการรับใช้ของเขา


แหล่งที่มาของหลักคำสอนของเขา


นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เกิดในปี ค.ศ. 1714 ที่เมืองกลอเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1732 เขาเริ่มเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และที่นั่นเองที่เขาได้พบกับชาร์ลส์และจอห์น เวสลีย์ หลังจากสร้างสัมพันธภาพกับพี่น้องเวสลีย์แล้ว ชาร์ลส์ได้มอบหนังสือเรื่อง The Life of God in the Soul of a Man (ชีวิตของพระเจ้าในจิตวิญญาณของมนุษย์) ที่เขียนโดยเฮนรี สคูกัล ผู้เชื่อกลุ่มพิวริตัน (Puritan) [2]-ให้กับจอร์จ ไวท์ฟิลด์ การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ไวท์ฟิลด์ได้ไตร่ตรองถึงความหมายที่แท้จริงของการเกิดใหม่


ในปี ค.ศ. 1735 พระเจ้าได้ประทานการเกิดใหม่ให้กับไวท์ฟิลด์ ไวท์ฟิลด์เริ่มขยันขันแข็งในการอ่านพระคัมภีร์พร้อมกับหนังสืออรรถาธิบายพระคัมภีร์ของแมทธิว เฮนรี การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ไวท์ฟิลด์ยืนยันหลักคำสอนแห่งพระคุณ (doctrines of grace) สิ่งนี้ไม่ใช่ระบบความเชื่อคนสมัยนั้นสอนกัน แต่เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้จากพระคัมภีร์ เขาเขียนไว้ว่า "ผมยอมรับแนวคิดแบบคาลวิน ไม่ใช่เพราะคาลวิน แต่เพราะพระเยซูคริสต์ทรงสอนผม" (อ้างจาก อาร์โนลด์ แดลลิมอร์, George Whitefield, หน้า 69)


แหล่งที่มาของหลักคำสอนของไวท์ฟิลด์ไม่ใช่เหล่านักปฏิรูปและคนกลุ่มพิวริตันเป็นหลัก แต่มาจากการอ่านพระคัมภีร์อย่างระมัดระวัง เขาเขียนอธิบายไว้ว่า "ผมเชื่อว่าพระเจ้าและพระวิญญาณของพระองค์ได้โปรดให้ผมเข้าใจเรื่องการเลือกสรรนิรันดรโดยพระบิดาผ่านทางพระบุตร เรื่องการถูกถือว่าชอบธรรมโดยเสรีผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เรื่องการชำระให้บริสุทธิ์ซึ่งเป็นผลจากสิ่งนั้น และเรื่องการดำรงอยู่ในความเชื่อจนถึงที่สุดและการได้รับพระเกียรติสิริซึ่งเป็นผลลัพธ์ของทุกสิ่ง" (Letters of George Whitefield [จดหมายของจอร์จ ไวท์ฟิลด์], หน้า 129)


จากถ้อยแถลงนี้ ก็เห็นชัดว่าเขาได้รับการสอนจากพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าทรงเลือกสรรบุคคลสู่ความรอดและทรงปกป้องรักษาพวกเขาไว้ในความเชื่อ


ในจดหมายฉบับอื่น ไวท์ฟิลด์เขียนว่า


อย่างไรก็ตาม นี่คือคำปลอบใจแก่ผม "พระเยซูคริสต์ทรงเป็นเหมือนเดิมเมื่อวานนี้ วันนี้ และตลอดไป" พระองค์ทรงเห็นผมตั้งแต่นิรันดรกาล พระองค์ประทานชีวิตให้ผม พระองค์ทรงเรียกผมในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงถือว่าผมชอบธรรมโดยเสรีผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ได้ชำระให้ผมบริสุทธิ์บางส่วนโดยพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์จะทรงปกป้องรักษาผมไว้ใต้พระกรนิรันดรของพระองค์ จนกว่ากาลเวลาจะไม่มีอีกต่อไป โอ้ ความจริงแห่งพระกิตติคุณเหล่านี้ช่างเป็นพรยิ่งนัก! สิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วคือข่าวประเสริฐ เป็นข่าวดีแห่งความปีติยิ่งใหญ่สำหรับทุกคนที่มีหูฟัง (Letters of George Whitefield [จดหมายของจอร์จ ไวท์ฟิลด์], หน้า 98)


หลักคำสอนแห่งพระคุณเหล่านี้เป็นคำปลอบยิ่งใหญ่แก่ไวท์ฟิลด์ เขาไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของเขาในหลักคำสอนเหล่านี้ ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการประกาศข่าวประเสริฐของเขา ไวท์ฟิลด์เป็นผู้ชายแห่งพระคัมภีร์และปล่อยให้พระคัมภีร์พูดด้วยตัวเองในเรื่องความบาปของมนุษย์และอำนาจสูงสุดของพระเจ้า


ไวท์ฟิลด์รู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยเขาให้รอดด้วยพระคุณ และเขาถือว่าตนเองตัองรับผิดชอบเป็นส่วนตัวที่จะประกาศข่าวสารแห่งพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขนนี้แก่ผู้อื่นทุกแห่งที่เขาไป สตีฟ ลอว์สันกล่าวชัดว่า "หลักคำสอนแห่งพระคุณเป็นสิ่งที่จุดไฟในจิตวิญญาณของเขาด้วยแรงกระตุ้นอันบริสุทธิ์ให้ประกาศกับโลกด้วยสารของพระคริสต์" (สตีเวน ลอว์สัน, The Evangelist Zeal of George Whitefield [ความร้อนรนในการประกาศข่าวประเสริฐของจอร์จ ไวท์ฟิลด์], หน้า 49)


แบบอย่างของการรับใช้ของเขา


ไวท์ฟิลด์เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก 13 ครั้งเพื่อประกาศพระกิตติคุณเรื่องพระคริสต์ผู้ถูกตรึงกางเขนเพื่อคนบาป เขาได้รับแรงจูงใจอย่างลึกซึ้งที่จะประกาศพระกิตติคุณแก่ทุกคนที่จะฟัง


ช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์คริสตจักรอเมริกัน หมู่คริสเตียนสมัยนั้นมีความเฉื่อยชาอย่างมาก เอ็ดเวิร์ด นินดี้เล่าว่า "แน่นอนว่า ทั้งบรรดาผู้นำคริสตจักรและฆราวาสจำนวนมากก็ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามหลักศีลธรรม และเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าเป็นแบบอย่างของคริสเตียน แต่พวกเขากลับถูกครอบงำด้วย ความเคร่งพิธีกรรมที่เย็นชา (formalism)[3] ซึ่งแพร่กระจายอยู่ทั่วแผ่นดิน” (เอ็ดเวิร์ด นินดี้, George Whitefield, Prophet-preacher [จอร์จ ไวท์ฟิลด์ ผู้เผยพระวจนะ-นักเทศน์], หน้า 90)


พระเจ้าทรงใช้การเทศนาของไวท์ฟิลด์ร่วมกับผู้คนอย่างโจนาธาน เอ็ดเวิร์ดส์ จนนำมาซึ่งการตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ ในช่วงเวลานี้ รูปแบบของความเคร่งพิธีกรรมที่เย็นชาแห่งยุคสมัยได้ถูกเผชิญหน้าท้าทาย และหลายจิตวิญญาณได้รับความรอดในอาณานิคมอเมริกัน การฟื้นฟูจิตวิญญาณที่แท้จริงเริ่มเกิดขึ้นทั่วนิวอิงแลนด์

ไวท์ฟิลด์ใช้เวลาเกือบ 35 ปีในการเทศนาทั้งในอังกฤษและในอาณานิคมอเมริกัน แบบอย่างการรับใช้อย่างซื่อสัตย์ที่ยืนยาวของของไวท์ฟิลด์นี้เป็นพยานถึงความหลงใหลในพระคริสต์และความมุ่งมั่นต่อหลักคำสอนพระคัมภีร์ของเขา เขาไม่เคยเห็นหลักคำสอนแห่งพระคุณเป็นอุปสรรคต่อการเทศนาพระกิตติคุณแก่คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้


ความจริงของอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้าในการช่วยให้รอดไม่ได้ทำให้ความรับผิดชอบส่วนบุคคลของคริสเตียนในการประกาศพระกิตติคุณเป็นโมฆะ สิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนในแบบอย่างที่ซื่อสัตย์ของไวท์ฟิลด์ จากการศึกษาพระคัมภีร์ของเขา เขาเชื่อทั้งในอำนาจสูงสุดของพระเจ้าและความเร่งด่วนของพระมหาบัญชา ที่ให้ออกไปสร้างสาวกโดยการประกาศพระคริสต์ที่ถูกตรึงไม้กางเขน


เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับการรับใช้ในคริสตจักรปัจจุบันอย่างไร? การเชื่อในหลักข้อสอนเรื่อง ความเสื่อมทรามโดยสิ้นเชิงของมนุษย์ และเรื่อง การทรงเลือกอย่างอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นอุปสรรคต่อการประกาศข่าวประเสริฐส่วนบุคคลเลย ตัวอย่างของไวท์ฟิลด์กลับกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่คริสเตียนในทุกวันนี้


พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจอธิปไตยสูงสุดเหนือสิ่งทั้งปวง รวมถึงความรอดของคนบาป


นอกจากนี้ คริสเตียนได้รับบัญชาให้ประกาศพระกิตติคุณแก่ผู้อื่น หลักการสองข้อนี้ไม่ขัดแย้งกัน การสอนพระคัมภีร์เรื่องพระคุณอันทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้าควรจุดไฟและจูงใจผู้เชื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐด้วยความมั่นใจ โดยวางความไว้วางใจอย่างไม่หวั่นไหวในฤทธิ์อำนาจของพระองค์เหนือความรอดของจิตวิญญาณ


บรรดาผู้เชื่อถูกเรียกให้ซื่อสัตย์เหมือนไวท์ฟิลด์ ในการหว่านเมล็ดแห่งพระกิตติคุณและไว้วางใจในพระเจ้าผู้ให้การเติบโต ไม่จำเป็นต้องมีความขัดแย้งระหว่างการมีมุมมองอันสูงส่งต่อพระเจ้าและการขยันขันแข็งในการเข้าถึงจิตวิญญาณที่หลงหาย คริสเตียนต้องซื่อสัตย์ในการหว่านเมล็ด แต่ไว้วางใจในพระเจ้าผู้ให้การเติบโต นี่คือแบบแผนอันยิ่งใหญ่ที่แสดงผ่านชีวิตและการรับใช้ของจอร์จ ไวท์ฟิลด์ นักประกาศข่าวประเสริฐแบบคาลวิน


ผู้เขียน

แอนดรูว์ มอร์โรว์ เป็นบัณฑิตจากหลักสูตรปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาศาสนศาสตร์ (Master of Divinity) ที่สถาบันเตรียมผู้รับใช้ของอาจารย์ [The Master's Seminary]

[1] การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่" (Great Awakening) คือ ช่วงเวลาฟื้นฟูฝ่ายจิตวิญญาณในอเมริกาในศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งทำให้เกิดการตื่นตัวทางความเชื่ออย่างกว้างขวาง และส่งผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรมอย่างมาก (โดยผู้แปล)

[2] กลุ่มพิวริตัน (Puritan) คือกลุ่มคริสเตียนโปรเตสแตนต์ที่เน้นการปฏิรูปและความบริสุทธิ์ (โดยผู้แปล)

[3] Formalism คือการปฏิบัติตามรูปแบบโดยไม่มีจิตใจที่แท้จริง (โดยผู้แปล)

Copyright: บทความเรื่อง "จอร์จ ไวท์ฟิลด์: นักประกาศข่าวประเสริฐแบบคาลวิน" โดย "แอนดรูว์ มอร์โรว์" ต้นฉบับเผยแพร่เป็นภาษาไทยโดย เกรซ บรรณสาร ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.Gracebannasan.com



 
 
 

ความคิดเห็น


What's New

ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับหนังสือใหม่, การประชุม, และสินค้าอื่นๆ!

ขอบคุณ

เวลาทำการ

วันจันทร์ - วันศุกร์:  8:00 - 17:00

​​วันเสาร์ : 8:00 - 12:00

​วันอาทิตย์: ปิด

ติดต่อเรา

พระคริสตธรรมเกรซ

บ้านเลขที่ 10 หมู่ 1

ต.ตลาดใหญ่ อ.ดอยสะเก็ด

จ.เชียงใหม่ 50220

gracebannasan@gmail.com

092-258-1033

© 2022 by Grace Bannasan

a project of the Sovereign Grace Baptist Foundation in Thailand

bottom of page