top of page

ทำไมความเห็นของโลกจึงสำคัญ

อัปเดตเมื่อ 1 ต.ค.

ree

โดย แบรด คลาสเซน (Brad Klassen)

 เขาต้องมีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ตกในความเสื่อมเสียและตกในกับดักของมาร

1 ทิโมธี 3:7



การเป็นพยานที่ดีต่อโลกซึ่งคอยเฝ้าดูอยู่นั้น มักเป็นหัวข้อที่ถูกละเลย แม้ว่าคริสตจักรจะให้ความสำคัญกับความเห็นของสมาชิกเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครเป็นผู้นำคริสตจักร แต่มักมองว่าความเห็นของคนที่ไม่เชื่อนั้นไม่เกี่ยวข้อง ลำเอียง และไม่รู้เรื่อง เพราะคนที่ไม่เชื่อนั้นตาบอดต่อความจริงและเกลียดชังสิ่งของพระเจ้า (เทียบ 1 โครินธ์ 2:14)


คำประเมินของคนที่ไม่เชื่อต่อลักษณะนิสัยของผู้เชื่อจะมีประโยชน์อะไร


นักบุญฟรานซิสแห่งอัสซิซีมักถูกอ้างถึงบ่อยครั้ง (อย่างผิดพลาด) ว่าได้กล่าวว่า “จงประกาศพระกิตติคุณอยู่เสมอ และเมื่อจำเป็นจึงใช้คำพูด”  คริสเตียนบางคนกลับตอบสนองต่อถ้อยคำนี้ (อย่างผิดพลาด) ไปอีกด้านหนึ่ง โดยทุ่มความสำคัญทั้งสิ้นไปกับสิ่งที่คริสเตียนประกาศด้วยปากเท่านั้น จนทำให้สื่อเป็นนัยมาว่า สุดท้ายแล้ว การดำเนินชีวิตที่สะท้อนความประพฤติอันมีเกียรติอย่างสม่ำเสมอแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกาศพระกิตติคุณเลย


แต่เปาโลก็กลับกล่าวตรงกันข้ามกับแนวคิดนี้ (1 ทิโมธี 3:7) เปาโลยืนยันว่าความคิดเห็นของคนที่ยังไม่เชื่อนั้นมีความสำคัญ ถึงขนาดที่ว่าหากพวกเขาประเมินใครสักคนในเชิงลบ ความปรารถนาของคนนั้นที่จะเป็นผู้ปกครองในคริสตจักรก็อาจถูกทำลายลงได้


ความหมายของ "ชื่อเสียงดี"


นิยาม


วลีที่ว่า “ชื่อเสียงดี” มีความหมายตรงตัวว่า “เป็นพยานที่ดี” โดยคำว่า “พยาน” (witness) ในที่นี้หมายถึง “การยืนยันหรือการรับรองสิ่งหนึ่ง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บนพื้นฐานของความรู้ส่วนตัวโดยตรงกับเรื่องนั้น”


สิ่งที่เราพิจารณาในตัวคนที่จะเป็นผู้นำนั้น ไม่ใช่คำที่บุคคลนั้นเป็นกล่าวอ้างด้วยตนเอง แต่เปาโลบอกว่าบุคคลนั้น “มี” (เป็นเจ้าของ ครอบครอง) พยานเช่นนั้นอยู่แล้ว


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้สมัครที่พร้อมจะเป็นผู้นำในคริสตจักรคือผู้มี “พยานที่ดี” อยู่แล้วในชีวิตจริง


และในกรณีนี้ สิ่งที่ต้องได้รับการยืนยันหรือรับรองก็คือลักษณะนิสัยของผู้นั้นเอง โดยอิงจากประสบการณ์ตรงและความรู้ส่วนตัวของผู้คนที่เกี่ยวข้อง เขาจะต้องมีคำรับรองที่ชัดเจนเกี่ยวชีวิตที่ไร้ที่ติของตน นั่นแปลว่าเขาดำเนินชีวิตตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เหมือนสิ่งที่เขาประกาศในวันอาทิตย์


แหล่งของการประเมินนี้ต้องมาจาก "คนภายนอกคริสตจักร" หรือตรงตัวคือ "คนภายนอก" คนที่อยู่ "ภายนอก" คือคนที่ไม่ใช่สมาชิกของ "ครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งก็คือคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์" (1 ทิโมธี 3:15)


ดังที่นักอธิบายพระคัมภีร์ลีและกริฟฟินกล่าวไว้ “เมื่อมีการเอ่ยชื่อผู้นำขึ้นมา ไม่ควรทำให้ผู้ที่ต่อต้านพระกิตติคุณเกิดการเยาะเย้ย ผู้นำควรมีพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างแห่งความซื่อสัตย์และความมุ่งมั่นต่อพระกิตติคุณที่เขาประกาศ”


สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ เปาโลให้น้ำหนักอย่างมากกับความคิดเห็นของคนที่ยังไม่เชื่อในการประเมินลักษณะนิสัยของผู้นำ แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่เราจะมองข้ามคำตัดสินของคนที่ไม่เชื่อว่า เต็มไปด้วยอคติหรือเพี้ยนไป แต่เปาโลกลับให้บทบาทที่ชัดเจนกับคำตัดสินเหล่านั้น ความจริงแล้ว แม้เพียงการถูกตำหนิจากผู้ไม่เชื่อก็อาจทำให้ผู้นั้นหมดสิทธิ์เป็นผู้นำในคริสตจักรได้


ดังที่โดนัลด์ กูทรีกล่าวไว้ว่า


“ไม่ใช่ว่าคนนอกจะมาเป็นผู้ชี้ขาดการเลือกเจ้าหน้าที่คริสตจักร แต่เป็นเพราะว่า ศาสนาจารย์คนใดก็ตามจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ หากเขายังไม่ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนมนุษย์รอบข้างเสียก่อน”

สเตราช์ก็เขียนเช่นกันว่า


“ผู้ที่ยังไม่ได้รับความรอดนั้นคอยสังเกต และมักจะมีสายตาเฉียบแหลม พวกเขาสังเกตเห็นว่า คริสเตียนมีพฤติกรรมอย่างไรในที่ทำงานและในสังคม และพวกเขาจะเป็นคนกลุ่มแรกที่สังเกตว่า มีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คริสเตียนพูดกับสิ่งที่เขาปฏิบัติหรือไม่ ความคิดเห็นของพวกเขาต่อนิสัยใจคอของผู้นำคริสเตียนจึงไม่อาจถูกมองข้ามได้ เพราะมันส่งผลต่อการเป็นพยานของคริสตจักรทั้งมวล”

พื้นฐาน

เช่นเดียวกับคุณสมบัติก่อนหน้า เปาโลระบุอย่างชัดเจนถึงเหตุผลที่เขากำหนดเช่นนี้ "เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ตกในความเสื่อมเสียและตกในกับดักของมาร" (1 ทิโมธี 3:7ข)


สำหรับเปาโลแล้ว คำพยานที่เลวร้ายเกี่ยวกับชีวิตของผู้เชื่อที่ถูกโลกจับตามอง ย่อมนำมาซึ่งผลลัพธ์อันหนักหนาสองประการ


ประการแรก มันนำไปสู่การตกในความเสื่อมเสีย  คำว่า “ความเสื่อมเสีย” เป็นคำที่มีน้ำหนักมาก หมายถึงความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า “ปราศจากที่ติ” ที่ปรากฏตอนต้นของเงื่อนไขคุณสมบัติ (1 ทิโมธี 3:2)


ใครคือผู้ที่สังเกตเห็นความเสียมเสียร้ายแรงนี้?


น่าจะเป็น “คนนอก” กลุ่มเดียวกันที่คอยสังเกตพฤติกรรมของผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นผู้เชื่อ เมื่อคนที่ไม่เชื่อเห็นว่าผู้เชื่อไม่ได้ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เขาประกาศ พวกเขาจะดูถูกทั้งชายคนนั้น คริสตจักรที่เขาเข้าร่วม และข่าวประเสริฐที่เขาเชื่อ ยิ่งถ้าเป็นผู้เชื่อที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ ผลลัพธ์ด้านลบก็ยิ่งรุนแรงขึ้น


ดังที่สเตราช์เขียนว่า “ผู้นำคริสเตียนที่มีคำพยานไม่ดีในชุมชนท้องถิ่น จะ ‘ตกในความเสื่อมเสีย ’ ในลักษณะที่ทำลายล้างมากกว่าคนที่เขานำอยู่เสียอีก”


ประการที่สอง คำพยานที่เลวร้ายนำไปสู่การตกในกับดักของพญามาร คำว่า "กับดัก" บางครั้งใช้หมายถึง "อุปกรณ์ที่ใช้จับสัตว์" หรือในกรณีนี้ ก็หมายถึง "สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งตกอยู่ในอันตรายอย่างกะทันหันหรือถูกควบคุมโดยอำนาจที่เป็นศัตรู”


แล้ว “อำนาจศัตรู” นี้คืออะไร? จริง ๆ แล้วศัตรูคือ “ใคร” เปาโลระบุชัดว่าเป็น "พญามาร" คำที่เปาโลใช้ชี้ให้เห็นธรรมชาติของซาตานที่เป็นผู้ต่อต้านและผู้ใส่ร้ายอยู่เสมอ ซาตานมีชีวิตอยู่เพื่อดูหมิ่นและกล่าวร้ายต่อประชากรของพระเจ้า โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาล้มลง


เปาโลพรรณนาว่า พญามารเป็นนักล่าที่วางกับดักอย่างแยบยล เพื่อจับบรรดาผู้ปกครองโดยไม่ให้ทันตั้งตัว มันประสบความสำเร็จได้อย่างไร? โดยนำ “ความหน้าซื่อใจคด” ของผู้นำคริสตจักรออกมาเปิดเผยต่อสายตาของโลก


ยุทธวิธีของมารในการทำลายชื่อเสียงของผู้เชื่อทั่วไป และโดยเฉพาะผู้นำคริสเตียนนั้น ไม่ควรถูกประเมินต่ำไปเลย มันได้มีเวลานับพันปีในการศึกษาจิตใจมนุษย์ และปรับปรุงอาวุธที่มันใช้ ซึ่งโดยมากได้แก่ ความเย่อหยิ่ง (1 ทิโมธี 3:6) ความมั่งคั่งและความสำเร็จ (1 ทิโมธี 6:9) เรื่องสตรีเพศ และความทะเยอทะยาน


มันวางกับดักด้วยความชำนาญ ดังนั้น คริสเตียนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ปรารถนาจะเป็นผู้นำในคริสตจักร ต้องตระหนักและเฝ้าระวังกลอุบายเหล่านี้เสมอ


การบ่มเพาะการเป็นพยานที่ดี


ถ้อยคำของเปาโลเน้นว่าผู้เชื่อต้องใส่ใจถึงอิทธิพลของชีวิตตนที่มีต่อบรรดาคนที่ยังไม่เชื่อซึ่งเฝ้าดูอยู่ คนเหล่านี้อาจเป็นเพียงสมาชิกในครอบครัวที่ยังไม่เชื่อ แต่ก็รวมถึงเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักศึกษา ครูอาจารย์ และแม้กระทั่งรัฐบาล ผลกระทบที่เรามีต่อพวกเขาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นสิ่งที่จะตัดสินว่าเรามีความพร้อมสำหรับสถานะผู้นำและการมีอิทธิพลในคริสตจักรหรือไม่


การเป็นพยานที่ดีสามารถบ่มเพาะได้โดยการนำหลักการเหล่านี้ไปใช้


เชื่อฟังกฎหมาย


รัฐบาลเป็นหนึ่งในหมวดหมู่ของ "คนภายนอก" ที่สังเกตคุณภาพของชีวิตผู้คนและได้รับมอบหมายให้ประเมินความบริสุทธิ์หรือความผิดของพวกเขา ทุกอย่างตั้งแต่การเชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองไปจนถึงการจ่ายภาษีเป็นโอกาสสำหรับคริสเตียนที่จะแสดง "การเป็นพยานที่ดี" ของพวกเขาหรือไม่ก็เปิดโอกาสให้คนที่ไม่เชื่อดูหมิ่นพระนามของพระคริสต์ (โรม 13:2-4; 1 เปโตร 2:14)


ทำงานด้วยความขยัน


คริสเตียนควรเข้าใจถึงศักดิ์ศรีและเป้าหมายของการทำงานยิ่งกว่าผู้ใด แม้ว่าบาปจะนำคำสาปมาสู่ขอบเขตของการทำงาน แต่การทำงานเองไม่ใช่ผลของบาป มนุษย์ถูกสร้างมาให้ทำงานตั้งแต่ต้น และงานนั้นไม่เคยถูกออกแบบมาเพื่อความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการใช้อำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งเพื่อทำให้โลกดีขึ้น สะท้อนความสามารถและฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อประโยชน์ของมนุษย์และสิ่งสร้างทั้งหมด อย่างที่เจ. ไอ. แพกเกอร์ กล่าวไว้ว่า


"งานทั้งหมด…ถูกออกแบบเพื่อสวัสดิภาพของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม คำตอบของคำถามที่ว่าคริสเตียนจะมองงานประจำวันของตนเป็นพันธกิจได้อย่างไร คือการตระหนักว่างานของท่านคือการรับใช้ผู้อื่น”

ดังนั้นคริสเตียนควรใส่ใจเป็นพิเศษต่อคำพยานของตนในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านคุณภาพของงาน เว้นแต่ถูกจำกัดด้วยความพิการทางร่างกาย มิฉะนั้นคริสเตียนควรเป็นผู้สร้างคุณค่าให้แก่สังคมเสมอ และไม่ควรใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา (1 ทิโมธี 5:8; โคโลสี 3:23; 1 เธสะโลนิกา 4:11-12; 1 ทิโมธี 6:1)


ดำเนินชีวิตให้ประจักษ์


ยิ่งวัฒนธรรมมีท่าทีเป็นศัตรูกับพระกิตติคุณมากเท่าไร คริสเตียนก็ยิ่งมีแนวโน้มอยากถอยห่างไปอยู่ในที่ลับ แต่การเก็บตัวไม่ใช่วิธีทำให้เราทำหน้าที่เป็น “ความสว่างของโลก” ได้ (มัทธิว 5:14-16; ฟีลิปปี 2:14-15)


เป็นธรรมิกชนที่มีส่วนในโลก


กล่าวคือ ธรรมิกชนที่แท้จริงจะไม่ได้ถอนตัวออกจากโลก แต่มีส่วนร่วมในโลกเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ มองหาหนทางที่จะเข้าไปมีส่วนในชีวิตของคนที่ไม่เชื่อ พระคริสต์เองทรงเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนมากในประเด็นนี้ (มัทธิว 9:10-13; 1 ทิโมธี 1:15ก)


และอย่าลืมคำสั่งของเปาโลว่า ถึงแม้เราต้องเว้นระยะจาก “พี่น้องที่ทำบาป” จนกว่าเขาจะกลับใจ แต่เราไม่ควรเว้นระยะจาก “คนบาปที่ยังไม่เชื่อ” (1 โครินธ์ 5:9-13)


รักคริสตจักร


ความรักพิเศษที่ผู้เชื่อมีต่อกัน ไม่ได้เพียงเพื่อประโยชน์ของคริสตจักรเพียงฝ่ายเดียว แต่เพื่อประโยชน์ต่อโลกที่เฝ้ามอง เมื่อผู้ที่ไม่เชื่อได้เห็นความรักที่จริงใจนี้ พวกเขาจะถูกดึงดูดเข้ามา (ยอห์น 13:34-35)


พร้อมที่จะพูด


นี่คือจุดที่คำกล่าว “จงประกาศพระกิตติคุณอยู่เสมอ และเมื่อจำเป็นจึงใช้คำพูด” ขาดความครบถ้วนไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าการกระทำดีจะมีความสำคัญต่อการประกาศ แต่ “คำพูด” ก็เป็นสิ่งจำเป็น (โรม 10:14-17; 1 เปโตร 3:15-16)


รักผู้ที่ยังหลงหาย


คริสเตียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใส่ใจกับคำพยานของตนต่อโลก เพราะพวกเขาขาดความรักแท้ต่อผู้ที่ยังหลงหาย หากเรารักผู้ที่ยังหลงหายจริง ๆ เราจะห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อผลกระทบของการกระทำแต่ละอย่างที่เรามีต่อคนไม่เชื่อ (1 ทิโมธี 1:15ก; 1 ทิโมธี 2:1-4)


ทำสงครามอย่างฉลาด


คริสเตียนต้องตื่นตัวต่อการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นกับคำพยานของตนต่อหน้าสายตาของโลก มารกำลังวางบ่วงที่มองไม่เห็น ทั้งหมดก็เพื่อทำลายคำพยานของผู้เชื่อ ความจริงข้อนี้จึงเรียกร้องให้เราต้องเฝ้าระวังและต่อสู้ด้วยความขยันขันแข็งต่อแผนการเหล่านั้น (เอเฟซัส 6:11-12; 1 เปโตร 5:8-10)


สำคัญจริงๆ 


ดังนั้น คริสตจักรไม่ควรรีบด่วนละเลยความคิดเห็นของโลกเมื่อต้องอนุมัติให้ผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำคริสตจักร โลกนั้นเฉียบแหลม และมันสังเกตผู้คนในพื้นที่ซึ่งนิสัยใจคอของคนนั้นถูกทดสอบมากที่สุด นั่นคือ ชีวิตประจำวันของบุคคลนั้นเมื่ออยู่นอกกำแพงคริสตจักร


ผู้เขียน

ดร.แบรด คลาสเซน (Brad Klassen) รับใช้ในฐานะรองศาสตราจารย์ด้านการอรรถาธิบายพระคัมภีร์ และหัวหน้าภาควิชาการอรรถาธิบายพระคัมภีร์


Copyright: บทความเรื่อง "ทำไมความเห็นของโลกจึงสำคัญ" โดย "ดร.แบรด คลาสเซน" ต้นฉบับเผยแพร่เป็นภาษาไทยโดย เกรซบรรณสาร ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.Gracebannasan.com


Original Article in English can be found at: https://blog.tms.edu/why-the-opinion-of-the-world-matters




 
 
 

ความคิดเห็น


What's New

ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับหนังสือใหม่, การประชุม, และสินค้าอื่นๆ!

ขอบคุณ

เวลาทำการ

วันจันทร์ - วันศุกร์:  8:00 - 17:00

​​วันเสาร์ : 8:00 - 12:00

​วันอาทิตย์: ปิด

ติดต่อเรา

พระคริสตธรรมเกรซ

บ้านเลขที่ 10 หมู่ 1

ต.ตลาดใหญ่ อ.ดอยสะเก็ด

จ.เชียงใหม่ 50220

gracebannasan@gmail.com

092-258-1033

© 2022 by Grace Bannasan

a project of the Sovereign Grace Baptist Foundation in Thailand

bottom of page