ทำไมต้อง 66 เล่มนี้?
- Grace Bannasan

- 18 ก.ย.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 1 ต.ค.

โดย นาธาน บูเซนิทซ์ (Nathan Busenitz)
คุณเคยหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาแล้วสงสัยไหมว่า “เรารู้ได้อย่างไรว่า มีแค่พระธรรม 66 เล่มนี้เท่านั้นที่เป็นพระวจนะที่พระเจ้าดลใจจริง ๆ และไม่มีเล่มอื่นอีก?”
นี่เป็นคำถามที่สำคัญมาก เพราะในปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ปฏิเสธว่าพระธรรมทั้ง 66 เล่มนี้คือพระคัมภีร์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์
ตัวอย่างเช่น คริสตจักรโรมันคาทอลิกอ้างว่าหนังสือที่ในกลุ่มที่เรียกว่า อธิกธรรม (Apocrypha) ซึ่งถูกเขียนขึ้นระหว่างรอยต่อระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ควรถูกรวมเข้าไว้ในพระคัมภีร์ด้วย ขณะที่กลุ่มลัทธิ เช่น มอรมอน ต้องการเพิ่มหนังสือของตนเองเข้าไปในพระคัมภีร์ เช่นหนังสือ Book of Mormon, Doctrines and Covenants และ The Pearl of Great Price และยังมีหนังสือและภาพยนตร์ยอดนิยมอย่าง The Da Vinci Code ที่อ้างว่า หลายศตวรรษหลังจากที่พระคัมภีร์ถูกเขียนเสร็จแล้ว คริสเตียน (เช่นจักรพรรดิคอนสแตนติน) เป็นผู้กำหนดว่า งานเขียนใดควรถูกรวมเข้าไปในพระคัมภีร์
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า "พระคัมภีร์ทั้งหมด" ประกอบด้วยพระธรรม 66 เล่มนี้? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์ที่เราถืออยู่ในมือ คือ พระวจนะของพระเจ้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์?
มีหลายวิธีที่เราสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ อันที่จริงแล้ว เราสามารถใช้เวลาหลายสัปดาห์ศึกษาหลักคำสอนเรื่องสารบบพระคัมภีร์ (canonicity) โดยศึกษารายละเอียดทางพระคัมภีร์และทางประวัติศาสตร์อย่างละเอียด และมีหนังสือหลายเล่มที่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยคุณให้ศึกษาข้อมูลมากมายเหล่านั้นได้
แต่ในบทความนี้ ผมอยากเสนอคำตอบง่าย ๆ ที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และตอบตรงประเด็น
คำตอบคือ:
เรายอมรับพระธรรม 39 เล่มในพันธสัญญาเดิม เพราะองค์พระเยซูคริสต์ทรงรับรอง พันธสัญญาเดิม และเรายอมรับพระธรรม 27 เล่มในพันธสัญญาใหม่ เพราะองค์พระเยซูคริสต์ทรงมอบสิทธิอำนาจ แก่เหล่าอัครทูตของพระองค์ให้เขียนพันธสัญญาใหม่
หลักคำสอนเรื่องสารบบพระคัมภีร์ (canonicity) มีรากฐานอยู่ที่ความเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระเยซูคริสต์ หากเราเชื่อในพระองค์และยอมจำนนต่ออำนาจของพระองค์ เราก็จะเชื่อและยอมจำนนต่อพระวจนะของพระองค์ด้วย เพราะพระเยซูทรงรับรองสารบบพันธสัญญาเดิม เราจึงรับรองพันธสัญญาเดิมตามพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงให้สิทธิอำนาจแก่บรรดาอัครทูตในการเขียนพันธสัญญาใหม่ เราจึงยอมรับพันธสัญญาใหม่ด้วย
คริสตจักรโรมันคาธอลิกไม่ใช่ผู้กำหนดสารบบพระคัมภีร์ จักรพรรดิคอนสแตนตินก็ไม่ได้เป็นผู้กำหนด โจเซฟ สมิธก็ไม่ได้เป็นผู้กำหนดอย่างแน่นอน ไม่ใช่เลย! สารบบพระคัมภีร์เกิดมาจากสิทธิอำนาจของพระคริสต์เอง พระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านายของคริสตจักรและเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่บังเกิดเป็นมนุษย์
สารบบของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
เมื่อพูดถึงพันธสัญญาเดิม พระเยซูคริสต์ทรงรับรองสารบบพระคัมภีร์ของชาวยิวในสมัยของพระองค์ ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกับที่มีในพันธสัญญาเดิมของเราทุกประการ
พระกิตติคุณทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า ตลอดเวลาที่พระเยซูทรงทำพันธกิจ พระองค์ทรงรับรองพันธสัญญาเดิมทั้งหมด (มัทธิว 5:17-18) รวมทั้งความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์ (เปรียบเทียบ มัทธิว 10:15; 19:3-5; 12:40; 24:38-39) ความแม่นยำในการพยากรณ์ (มัทธิว 26:54) ความเพียงพอ (ลูกา 16:31) ความเป็นเอกภาพ (ลูกา 24:27, 44) ความปราศจากข้อผิดพลาด (มัทธิว 22:29; ยอห์น 17:17) ความไม่มีทางผิดพลาด (ยอห์น 10:35) และสิทธิอำนาจ (มัทธิว 21:13, 16, 42)
พระเยซูทรงรับรองพระธรรมทั้งหมวดบัญญัติ หมวดวรรณกรรม และหมวดคำพยากรณ์ รวมทั้งทุกสิ่งที่เขียนไว้ในนั้น พระเยซูทรงเห็นว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจน (มัทธิว 15:16; มาระโก 7:13; ลูกา 3:2; 5:1; เป็นต้น)
ชาวยิวในศตวรรษแรกไม่ได้ถือว่าหนังสือในหมวดอธิกธรรม (Apocrypha) เป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ และพระเยซูก็ไม่ได้ถือเช่นนั้นเหมือนกัน พระองค์ทรงยอมรับสารบบพระคัมภีร์ของชาวยิวว่าเป็นพันธสัญญาเดิมที่สมบูรณ์ พระองค์ไม่เคยรับรองหรืออ้างอิงถึงหนังสือในหมวดอธิกธรรม (Apocrypha) และผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ก็ไม่เคยทำเช่นกัน
(บางคนอาจสงสัยเรื่องที่ยูดาสอ้างอิงหนังสือเอโนค แต่หนังสือเอโนคไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอธิกธรรมของโรมันคาทอลิก หนังสือนี้เป็นเพียงวรรณกรรมที่ชาวยิวสมัยนั้นรู้จักกันดี ยูดาสอ้างถึงเพื่อเป็นตัวอย่างประกอบ เหมือนกับที่เปาโลทำเมื่ออ้างกวีต่างชาติบนเนินอาเรโอปากัสในกิจการ 17)
สำหรับผู้ที่อาจสงสัยว่า "ทำไมโปรเตสแตนต์ไม่ยอมรับอธิกธรรม?" คำตอบง่าย ๆ ก็คือ พระเยซูไม่เคยรับรองว่า อธิกธรรมเป็นพระคัมภีร์ และเหล่าอัครทูตก็ไม่เคยรับรองเช่นกัน
บรรดาผู้นำคริสตจักรในยุคแรกหลายท่านก็ไม่ได้ถือว่าหนังสืออธิกธรรมถูกรับรองเข้าสารบบเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ พวกเขาถือว่าหนังสือเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสริมคริสตจักร แต่ไม่มีอำนาจเหนือคริสตจักร แม้แต่นักวิชาการในศตวรรษที่ 5 อย่าง 'เจอโรม' (ผู้แปลพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับวัลเกต (Vulgate) ซึ่งกลายมาเป็นพระคัมภีร์มาตรฐานของโรมันคาทอลิกในยุคกลาง) ก็เห็นว่า ไม่ควรถือว่าหนังสืออธิกธรรมมีสิทธิอำนาจหรือได้รับการยอมรับเข้าสารบบเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์
ดังนั้น เราจึงยอมรับสารบบพระคัมภีร์ (canonicity) ของพันธสัญญาเดิมบนพื้นฐานของการรับรองด้วยสิทธิอำนาจจากองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเราปฏิเสธความเป็นพระคัมภีร์ของหนังสือหมวดอธิกธรรม เพราะพระเยซูไม่ได้ทรงรับรองบรรดาหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นในช่วงระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่เลย
สารบบของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
หลักการเดียวกันนี้ใช้กับสารบบของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ องค์พระเยซูเจ้าของเราไม่ทรงรับรองแค่สารบบพันธสัญญาเดิมของชาวยิวเท่านั้น พระองค์ยังทรงสัญญาว่าจะสำแดงเปิดเผยเพิ่มเติมแก่คริสตจักรของพระองค์ ผ่านทางตัวแทนที่พระองค์ทรงให้อำนาจ นั่นคือ เหล่าอัครทูต
พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนในยอห์น 14-16 ในคืนก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระเยซูตรัสกับสาวกว่า:
ทั้งหมดนี้เราได้กล่าวไว้ขณะที่เรายังอยู่กับพวกท่าน แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงส่งมาในนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่พวกท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน - ยอห์น 14:25-26
ประโยคสุดท้ายนั้นสำคัญมากสำหรับหลักคำสอนเรื่องสารบบพระคัมภีร์ พระเยซูทรงสัญญากับอัครทูตว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยพวกเขาให้ระลึกจดจำทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา
นั่นเป็นคำสัญญาที่น่าอัศจรรย์ คำสัญญานี้เป็นจริงและพบหลักฐานได้ในพระกิตติคุณทั้งสี่ฉบับ ซึ่งสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ทรงกระทำและได้ตรัสนั้น ได้รับการบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
สองบทต่อมาในบริบทเดียวกัน พระเยซูทรงสัญญากับเหล่าอัครทูตว่า พระองค์จะทรงสำแดงเปิดเผยเพิ่มเติมแก่พวกเขาผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์:
ยังมีอีกมากที่เราจะกล่าวกับพวกท่าน มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้ แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยินและจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงนำเกียรติสิริมาให้เราโดยการนำสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกท่าน ทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของเรา ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณจะทรงนำสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกท่าน - ยอห์น 16:12-15
การสำแดงเปิดเผยเพิ่มเติมนั้นอยู่ที่ไหน? อยู่ที่บรรดาพระธรรมในพันธสัญญาใหม่ที่พระวิญญาณของพระคริสต์ทรงนำเหล่าอัครทูตให้มอบความจริงที่ได้รับการดลใจแก่คริสตจักร
ดังนั้น พันธสัญญาใหม่จึงได้รับการรับรองล่วงหน้าโดยพระคริสต์เอง เมื่อพระองค์ทรงให้สิทธิอำนาจแก่เหล่าอัครทูตที่จะเป็นพยานของพระองค์ในโลก (มัทธิว 28:18-19; กิจการ 1:8) เรายอมรับและยอมจำนนต่อพันธสัญญาใหม่ เพราะถูกเขียนโดยตัวแทนที่พระคริสต์ทรงมอบสิทธิอำนาจให้ และได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแบบเดียวกับบรรดาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม (เปรียบเทียบ 2 เปโตร 3:19-21)
เมื่อคิดในแง่นี้ เราสามารถไล่ดูพระธรรมในพันธสัญญาใหม่ทีละเล่ม และเราจะพบว่า ก็เป็นไปตามเกณฑ์นี้:
พระกิตติคุณของมัทธิวและยอห์น เขียนโดยอัครทูตทั้งคู่
พระกิตติคุณของมาระโก เป็นบันทึกความทรงจำของอัครทูตเปโตร ซึ่งมาระโกเขียนภายใต้สิทธิอำนาจอัครทูตของเปโตร
พระกิตติคุณของลูกา (และพระธรรมกิจการของอัครทูต) เป็นผลจากการสืบเสาะข้อมูลอย่างระมัดระวังรวมทั้งคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ (ลูกา 1:2) การค้นคว้าวิจัยที่จะรวมถึงแหล่งข้อมูลจากเหล่าอัครทูต ยิ่งกว่านั้น ในฐานะผู้ร่วมงานของอัครทูตเปาโล ลูกาเขียนภายใต้การควบคุมดูแลอัครทูตของเปาโล (ตัวอย่างเช่น เปาโลรับรองลูกา 10:7 ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ใน 1 ทิโมธี 5:18)
จดหมายฝากของเปาโล (โรม-ฟีเลโมน) ทั้งหมดเขียนโดยอัครทูตเปาโล
เราไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเขียนพระธรรมฮีบรู แต่หลายคนในประวัติศาสตร์คริสตจักรเชื่อว่าเปาโลเป็นผู้เขียน หากไม่ใช่เปาโลเขียนเอง ก็เขียนโดยคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับพันธกิจของเปาโล และด้วยเหตุนั้น จึงอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจอัครทูตของเปาโล
จดหมายฝากทั่วไป (จดหมายฝากของยากอบ เปโตร และยอห์น) เขียนโดยเหล่าอัครทูต เปโตรยังยอมรับงานเขียนของเปาโลว่าเป็นพระคัมภีร์ใน 2 เปโตร 3:15-16
จดหมายฝากของยูดา เขียนโดยพี่ชายต่างมารดาของพระเยซู (มัทธิว 13:55; มาระโก 6:3) ผู้ดำเนินงานภายใต้การดูแลของอัครทูตผู้เป็นพี่ชายของเขา คือยากอบ (เปรียบเทียบ ยูดา 1)
และสุดท้าย พระธรรมวิวรณ์ เขียนโดยอัครทูตยอห์น
พระธรรมในพันธสัญญาใหม่ทุกเล่มเขียนภายใต้อำนาจอัครทูต ไม่ว่าจะเขียนโดยอัครทูตโดยตรง หรือโดยคนที่เชื่อมโยงกับพันธกิจการรับใช้ของอัครทูต ดังนั้น เราจึงยอมจำนนเชื่อฟังพระธรรมเหล่านี้ เพราะเกิดจากตัวแทนที่พระคริสต์ทรงมอบสิทธิอำนาจให้ การยอมจำนนต่อพระธรรมเหล่านี้ คือการที่เรายอมจำนนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
เหตุผลที่สารบบพระคัมภีร์ถูกปิดลง ไม่มีการเพิ่มพระธรรมเล่มใหม่เข้าไปอีก ก็เพราะว่าทุกวันนี้ไม่มีอัครทูตในคริสตจักรอีกแล้ว และไม่มีอัครทูตมาตั้งแต่สิ้นศตวรรษแรกแล้ว เมื่อสิ้นสุดยุคการวางรากฐานของคริสตจักร (เปรียบเทียบ เอเฟซัส 2:20)
แล้วทำไมต้อง 66 เล่มนี้?
เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ดลใจให้เขียนพระธรรมเหล่านี้ พระคัมภีร์เหล่านี้จึงเป็นการสำแดงเปิดเผยจากพระองค์โดยตรง และพระคริสต์ทรงยืนยันความจริงข้อนี้ พระองค์ทรงรับรองสารบบพันธสัญญาเดิม และทรงมอบสิทธิอำนาจในการเขียนพันธสัญญาใหม่ (เปรียบเทียบ ฮีบรู 1:1-2)
ดังนั้น สิทธิอำนาจขององค์พระเยซูเองจึงเป็นรากฐานให้เรามั่นใจว่า พระคัมภีร์ที่เราถืออยู่คือ "พระคัมภีร์ทั้งหมด" จริง ๆ
ผู้เขียน
นาธาน บูเซนิตซ์ (Nathan Busenitz) ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายบริหารและคณบดีฝ่ายคณาจารย์ของ The Master's Seminary นอกจากนี้ ท่านยังเป็นหนึ่งในศิษยาภิบาลของกลุ่มสามัคคีธรรม Cornerstone ที่คริสตจักรเกรซคอมมูนิตี้
Copyright: บทความเรื่อง "ทำไมต้อง 66 เล่มนี้?" โดย "นาธาน บูเซนิทซ์" ต้นฉบับเผยแพร่เป็นภาษาไทยโดย เกรซบรรณสาร ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.Gracebannasan.com
Original Article in English can be found at: https://blog.tms.edu/why-these-66-books
.png)



ความคิดเห็น